สารสกัดเชอร์รี่

สารสกัดจากแบร์เบอร์รี่ (Bearberry Extract)        Bearberry หรือต้น แบร์เบอร์รี่ อุดมไปด้วยสาร tannin เป็นสารชนิดหนึ่งอยู่ในกลุ่มของสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อและปกป้องผิว เพื่อให้ผิวแลดูเรียบเนียน นอกจากนี้ ยังสามารถลดจุดน้ำตาลและลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน (melanin) ได้อีกด้วย ซึ่งมีงานวิจัย ได้รับการรับรองแล้วว่า ใบของต้นแบร์เบอร์รี่ สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดี ส่งผลให้ช่วยลดริ้วรอยบนได้ดี และมีสารที่โดดเด่นในเรื่องของการช่วยให้ผิวขาว ใส นั่นคือ สาร Alpha Arbutin ซึ่งเป็นสารประกอบจากธรรมชาติ มีความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ที่จะทำให้ผิวที่ดูหมองคล้ำ กลับมาสดใส มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น สารสกัดจากใบแบร์เบอร์รี่คืออะไร? ทั่วไปแบร์เบอร์รี่สารสกัดจากใบ (Arctostaphylos uva-ursi L. Sprengel) เป็นไม้พุ่มที่เขียวชอุ่มตลอดปีที่แพร่หลายตั้งอยู่ทั่วอเมริกาเหนือเอเชียและยุโรป ผลไม้เกือบจะไม่มีรสจืด แต่พืชมีความเข้มข้นสูงของสารออกฤทธิ์ กิจกรรมต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบแบร์เบอร์รี่ใน 2,2′-azino-bis-3-ethylbenzothiazoline-6-กรดซัลโฟนิก (ABTS) การทดสอบไอออนบวกอนุมูลอิสระคือ 90.42 mmol Trolox เทียบเท่า / กรัมน้ําหนักแห้ง (DW) ความสามารถในการกวาดล้างของสารสกัดจากเมทานอลของใบแบร์เบอร์รี่สารสกัดจากอนุมูลเมท็อกซี่ที่สร้างขึ้นในปฏิกิริยาเฟนตันถูกวัดผ่านเรโซแนนซ์พาราแมกเนติกอิเล็กตรอน ออกซิเดชันไขมันถูกหน่วงในอิมัลชันน้ํามัน – น้ําโดยการเพิ่ม 1 กรัม / กิโลกรัมสารสกัดจากใบแบร์เบอร์รี่ lyophilised. นอกจากนี้ 1 กรัม / กิโลกรัมของสารสกัดจากใบแบร์เบอร์รี่ lyophilised รวมอยู่ในฟิล์มที่ใช้เจลาตินแสดงกิจกรรมต้านอนุมูลอิสระสูงเพื่อชะลอการย่อยสลายของไขมันในอาหารกล้ามเนื้อ ผลปัจจุบันบ่งบอกถึงศักยภาพของสารสกัดจากใบแบร์เบอร์รี่สําหรับใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอาหารธรรมชาติ. การประยุกต์ใช้สารสกัดจากใบแบร์เบอร์รี่ ผงสารสกัดจากแบร์เบอร์รี่ถูกนําไปใช้ในด้านเครื่องสําอาง มันสามารถปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระของ สารสกัดจากแบร์เบอร์รี่ที่ดีที่สุดยับยั้งการก่อตัวของเม็ดสีเมลานินโดยการยับยั้งกิจกรรมไทโรซิเนสของ มันเป็นตัวแทนผิวที่ปลอดภัยมากสําหรับการใช้งานภายนอกซึ่งไม่มีความเป็นพิษ, กระตุ้น, กลิ่นไม่พึงประสงค์หรือผลข้างเคียงเช่น hydroqinoneของ ส่วนใหญ่ให้คุณสมบัติหลักสามประการ ผลการฟอกสีฟัน, ผลต่อต้านอายุและตัวกรอง UVB / UV อ้างอิง  https://ibioworld.com/Ingredients0000000389  https://th.underfungus.com/dietary-supplement/bearberry-leaves-extract.html

สารสกัดจากดอกดาวเรือง

สารสกัดดาวเรือง (Calendula extract) ดอกดาวเรือง เป็นดอกไม้ที่คุ้นตาคนไทยมาช้านาน เพราะเป็นดอกไม้ปลูกง่าย สีสันก็สวยสดใสสะดุดตา ซึ่งนอกจากจะมีให้เห็นในบ้านเราแล้ว ในต่างประเทศก็รู้จักดอกดาวเรืองด้วยเช่นกันค่ะ โดยภาษาอังกฤษจะเรียกกันว่า Marigold เนื่องจากมีสีเหลืองทอง ส่วนในชื่อวิทยาศาสตร์ก็จะเรียกกันว่า Tagetes erecta L. เป็นดอกไม้ในวงศ์ Asteraceae และนอกจากนี้ ในบ้านเรายังมีชื่อเรียกต่างกันตามท้องถิ่นด้วย โดยภาษาเหนือ หรือในภาคเหนือจะเรียกว่า ดอกคำปู้จู้ หรือในแถบแม่ฮ่องสอนจะเรียกว่า พอทู เป็นต้น ดอกดาวเรืองเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งซึ่งตามความเชื่อของคนโบราณจะเชื่อกันว่า การปลูกไว้ในบ้านจะช่วยนำเงินทองเข้ามาให้ ช่วยหนุนนำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง เนื่องจากมีสีเหลืองทองนั่นเอง นอกจากนี้ ยังเป็นดอกไม้ที่แข็งแกร่ง ปลูกง่าย โตเร็ว และทนทาน จึงมีความหมายอันเป็นมงคลซึ่งหมายถึงความมั่นคง โดยมักสื่อความหมายถึงครอบครัวใหม่ หรือทางด้านความรักด้วย สารสกัดดอกดาวเรือง มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง รักษาผิวแพ้ง่ายและชะลออายุของผิว ทั้งยังช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ กรองแสง ลดการอุดตัน และอุดมไปด้วย Lutein ซึ่งมีคุณสมบัติ Anti-inflamatory ลดการอักเสบ เช่นการอักเสบจากสิว ช่วยลดรอยแดงจากสิว ช่วยสมานแผล Moisturizing เสริมความชุ่มชื้น ลดการระคายเคืองผิว โดยเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายและแห้ง หรือผิวที่ระคายเคือง Immunodolulatory เสริมให้ผิวแข็งแรง ช่วยให้ผิวไม่แพ้ง่าย เหมาะสำหรับผิวที่แพ้ง่าย เป็นผื่นง่าย Reepithelizing เร่งการก่อต้วของชั้นผิว ช่วยให้ชั้นผิวมีสุขภาพด แข็งแกง และสามารถช่วยการสมานแผล รักษาแผลให้ผิวสามารถสร้างชั้นผิวใหม่มาทดแทนได้รวดเร็ว และที่สำคัญให้ผิวอ่อนเยาว์อยู่เสมอ (anti-aging) ประโยชน์ของดอกดาวเรืองสรรพคุณลือเลื่อง บำรุงสายตาดอกดาวเรืองมีสารแซนโทฟิลล์ (Xanthophyll) ซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์ (สารต้านอนุมูลอิสระ) ชนิดหนึ่ง โดยมีส่วนประกอบเป็นโมเลกุลที่มีออกซิเจน อันได้แก่ ลูทีนและซีแซนธิน ซึ่งจัดว่าเป็นสารบำรุงสายตาจากพืชมีสี โดยทั้งสองสารนี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตาได้ ช่วยกรองแสงสีฟ้า และยังเป็นสารออกซิเดชั่น ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่จะทำลายประสิทธิภาพการทำงานของจอประสาทตา บรรเทาโรคผิวหนังดอกดาวเรืองมีสารคาเลนดูลา (Calendula) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาปัญหาผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ แผลเป็น และผิวหนังแห้งแตก โดยการนำมาบรรเทาและดูแลปัญหาผิวหนังเหล่านี้ ควรใช้สารสกัดจากดอกดาวเรืองที่อยู่ในรูปครีมยา น้ำมันหอมระเหย หรือโลชั่นบำรุงผิวพรรณ รักษาสิว เหล่าสาวๆ และหนุ่มทั้งหลาย ที่มีปัญหาสิวจะใช้ดอกดาวเรืองแต้มสิวได้เหมือนกัน แต่ควรใช้ดอกดาวเรืองที่สกัดมาเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากสารสกัดจากดอกดาวเรืองอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มไตรเทอปีน ฟลาโวนอยด์ และซาโปนิน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส มีคุณสมบัติในการสมานแผล ช่วยทำความสะอาดเนื้อเยื่อ และป้องกันการติดเชื้อบนผิวหนัง แก้ร้อนใน ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และแก้ปัญหาผิวหนังแตกแห้ง รวมทั้งฤทธิ์ต้านอาการอักเสบที่มีอยู่ในดอกดาวเรือง จึงทำให้เป็นดอกไม้รักษาอาการร้อนในได้ โดยการใช้ก็เพียงแค่นำดอกไปตากแห้งแล้วมาชงเป็นชาดื่ม จะช่วยลดความร้อนในร่างกายและทำให้อาการร้อนในลดลงได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำชาจากดอกดาวเรืองมาบ้วนปากเป็นประจำเพื่อรักษาแผลร้อนในได้อีกด้วย แก้ปวดฟัน ดอกดาวเรืองที่เราคุ้นเคยชนิดนี้มีดีมากกว่าแค่เพียงไว้ใช้ประดับให้สวยงามเท่านั้น เพราะถ้าหากนำดอกแห้ง 7-8 ดอกไปต้มกับน้ำในปริมาณที่พอเหมาะแล้วจิบทั้งวัน ก็สามารถลดอาการปวดฟันได้โดยไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวด อีกทั้งยังสามารถขับร้อนในร่างกายได้อีกด้วย ช่วยลดน้ำตาลในเลือด สารสกัดดอกดาวเรืองมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) ซึ่งมีหน้าที่ย่อยสลายน้ำตาลในลำไส้ส่วนเล็กเพื่อให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ดีขึ้น ดังนั้น สารสกัดจากดอกดาวเรืองจึงมีฤทธิ์ลดการดูดซึมกลูโคสในร่างกาย มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ดี โดยเฉพาะในกรณีน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นหลังกินอาหาร ลดไขมันในเลือด สารสกัดดอกดาวเรืองมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไลเปส (Pancreatic lipase) เอนไซม์ช่วยย่อยไขมันจากตับอ่อน ได้เทียบเท่ากับสารสกัดของดอกดาวกระจาย และดอกเฟื่องฟ้า โดยจัดเป็นสารพฤกษเคมีประเภทสารประกอบฟีนอลิก มีฤทธิ์ทำให้เอนไซม์ย่อยไขมันทำงานไม่เป็นปกติ ส่งผลให้การย่อยอาหารที่มีไขมันและการดูดซึมไขมันของร่างกายลดลง จึงช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด และลดโอกาสเกิดโรคอ้วนได้ ขับลม แก้ท้องผูก รักษาริดสีดวงทวารหนัก ดอกดาวเรืองถือว่ามีพิษร้ายต่อโรคริดสีดวงทวารหนัก เพราะมีฤทธิ์ขับลมในกระเพาะอาหาร และมีฤทธิ์รักษาโรคริดสีดวงทวารโดยตรง โดยตำรับจากอินเดียจะใช้น้ำคั้นจากช่อดอกดาวเรืองมาดื่มแก้ริดสีดวงทวาร หรือบางกรณีจะใช้น้ำคั้นจากช่อดอกผสมน้ำอุ่นแล้วนั่งแช่ลดอาการบวมของแผลริดสีดวงทวารหนัก ซึ่งจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัว อาการริดสีดวงทวารก็จะบรรเทาลงได้ อ้างอิง  https://lifeinnova.com/th/blogs/Calendula%20extract

การเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริม ผลิตเครื่องสำอางค์ หรือ ยา ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม

โรงงานผลิตอาหารเสริม, ผลิตอาหารเสริม, โรงงานผลิตเครื่องสำอางค์, โรงงานผลิตสบู่

การเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริม ผลิตเครื่องสำอางค์ หรือ ยา ตามมาตรฐานอุตาสาหกรรม หากคุณเป็นผู้ประกอบธุรกิจอาหารเสริม วิตามิน ยา สบู่ หรือเครื่องสำอางค์รายใหม่ ๆ ก็คงเลือกโรงงานผลิตอาหารเสริม โรงงานผลิตเครื่องสำอางค์, โรงงานผลิตสบู่ แทนการลงทุนสร้างโรงงานเอง นั้นอาจเป็นเพราะว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าและใช้เม็ดเงินลงทุนน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการต้องมาซื้อเครื่องจักรมาผลิตเอง แต่ทว่ากลับกัน ก็มีข้อเสียที่ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะคุณเลือกโรงงานที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ได้มาตรฐานแล้วละก็นั้นอาจทำให้คุณเสียเวลาและเงินทุนได้โดยไม่จำเป็น ดังนั้น ในการเลือกโรงงานรับผลิต คุณจะต้องพิจารณาเกี่ยวกับความเหมาะสมของโรงงานตั้งแต่เริ่มต้น โดยประเมินกับเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ความสามารถในการผลิต ราคา ความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพของการผลิต เพื่อให้การเลือกโรงงานรับผลิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความต้องการและเป้าหมายของธุรกิจ มาตรฐานโรงงานผลิตอาหารเสริม , โรงงานผลิตเครื่องสำอางค์, โรงงานผลิตสบู่ มีอะไรบ้าง ? ขั้นตอนการสร้างโรงงานนั้นมีความละเอียดซับซ้อน เพื่อให้มีความปลอดภัยกับผู้บริโภคมากที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่สินค้าสักตัวจะออกมาสู่ตลาด เหล่าผู้ประกอบการทั้งหลายจะต้องทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับมาตรฐานโรงงาน เพื่อให้สินค้าเป็นที่ยอมรับและเป็นการการันตีว่ามีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค ฉะนั้นหากาผู้ประกอบการที่กำลังมองหา โรงงานผลิตอาหารเสริม , โรงงานผลิตเครื่องสำอางค์ หรือ โรงงานผลิตสบู่ ควรมองหาโรงงานที่มีมาตรฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับโรงงาน ดังต่อไปนี้ GMP (Good Manufacturing Practice) หลักเกณฑ์ชี้วัดมาตรฐาน โรงงานผลิตอาหารเสริม, โรงงานผลิตเครื่องสำอางค์, โรงงานผลิตสบู่ GMP เป็นคําที่คุ้นเคยในวงการอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา เครื่องสําอาง และรวมถึงทางด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วย GMP (Good Manufacturing Practice) หมายถึง หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร เป็นเกณฑ์หรือข้อกําหนดขั้นพื้นฐานที่จําเป็น ในการผลิตและควบคุมเพื่อให้ผู้ผลิตปฏิบัติตาม และทําให้สามารถผลิตอาหารได้อย่างปลอดภัย โดยเน้นการ ป้องกันและขจัดความเสี่ยงที่อาจจะทําให้อาหารเป็นพิษ เป็นอันตราย หรือเกิดความไม่ปลอดภัยแก่ผู้บริโภค หลักเกณฑ์ GMP เป็นระบบประกันคุณภาพที่มีการปฏิบัติและพิสูจน์แล้วจากกลุ่มนักวิชาการด้านอาหารทั่วโลก ว่าสามารถทําให้อาหารเกิดความปลอดภัย เป็นที่เชื่อถือยอมรับจากผู้บริโภค โดยอาศัยหลายปัจจัยที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ดังนั้นหากยิ่งสามารถปฏิบัติตามแนวทางที่กําหนดได้ทั้งหมด ก็จะทําให้อาหารมีคุณภาพมาตรฐาน และมีความปลอดภัยมากที่สุด หลักการของ GMP จึงครอบคลุมตั้งแต่สถานที่ตั้งของสถานประกอบการ โครงสร้างอาคาร โรงงานรับผลิตอาหารเสริม กระบวนการผลิตที่ดีมีความปลอดภัย และมีคุณภาพได้มาตรฐานทุกขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนการผลิต ระบบควบคุมตั้งแต่วัตถุดิบ ระหว่างการผลิต ผลิตภัณฑ์สําเร็จรูป การจัดเก็บ การควบคุมคุณภาพ และ การขนส่งจนถึงผู้บริโภค มีระบบบันทึกข้อมูล ตรวจสอบและติดตามผลคุณภาพผลิตภัณฑ์รวมถึงระบบการจัดการที่ดีในเรื่องสุขอนามัย (Sanitation และ Hygiene) ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายมีคุณภาพและความปลอดภัยเป็นที่มั่นใจเมื่อถึงมือผู้บริโภค และ GMP ยังเป็นระบบประกันคุณภาพพื้นฐานก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ระบบประกันคุณภาพอื่น ๆ ต่อไป เช่น HACCP (Hazards Analysis and Critical Control Points) และ ISO 9000 อีกด้วย มาตรฐานโรงงานผลิตอาหารเสริม ISO มาตรฐานคุณภาพระดับโลก ISO (International Standards Organization) หรือมาตรฐานไอเอสโอ เป็นมาตรฐานสากล หาก โรงงานผลิตอาหารเสริม ใดมี ISO แสดงว่าโรงงานผลิตอาหารเสริมนั้นมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งตัวเลขต่อท้าย ISO มีความหมายแตกต่างกัน โดยมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับโรงงานผลิตอาหารเสริม , โรงงานผลิตเครื่องสำอางค์, โรงงานผลิตสบู่ นั้นคือ คือ ISO 22000 และ ISO 9001 และ ISO/IEC 17025 ISO 22000: Requirements for a Food Safety Management System หรือ ข้อกําหนดของระบบการบริหารงานความปลอดภัยด้านอาหาร เป็นข้อกําหนดเฉพาะสําหรับ ระบบการจัดการความปลอดภัยด้านอาหารในห่วงโซ่อาหาร โดยเพื่อให้เป็นมาตรฐานกลางที ครอบคลุมข้อกําหนดทุกมาตรฐานที่เกียวข้องกับคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร ที่มีการบังคับใช้ในทางการค้าสินค้าอาหารอยู่ในปจจุบัน ซึงจะทําให้ธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อาหารมีมาตรฐานเดียวทีสอดคล้องกัน และเป็นมาตรฐานทีตรวจประเมินได้ เป็นทียอมรับในระดับสากล (Auditable standard) รวมทั้งจะช่วยผลักดันให้องค์กรให้ความสําคัญต่อการดําเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับข้อกําหนดของกฎหมาย ISO 9001 : 2008 เป็นระบบการบริหารคุณภาพที่มุ่งควบคุมการผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าและปฏิบัติตาม กฎเกณฑ์กฎระเบียบหรือข้อกำหนดคุณภาพ ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้กับทุกองค์การโดยไม่คำนึงถึงประเภทและขนาดของผลิตภัณฑ์ ISO/IEC 17025 หรือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.17025 เป็นข้อกำหนดทั่วไปว่าด้วยความสามารถห้องปฏิบัตการในการดำเนินการทดสอบหรือสอบเทียบ ซึ่งจะประกอบด้วยข้อกำหนดด้านการบริหารงานคุณภาพและข้อกำหนดด้านวิชาการ โดยมาตรฐานนี้สามารถที่จะนำมาใช้ได้ กับทุกองค์กรที่มีการดำเนินกิจกรรมการทดสอบหรือสอบเทียบ มาตรฐานอาหารฮาลาล มาตรฐานจากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย “เครื่องหมายฮาลาล” คือ เครื่องหมายที่คณะกรรมการฝ่ายกิจการฮาลาลของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย หรือคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดต่าง ๆ ได้อนุญาตให้ผู้ประกอบการทำการประทับ หรือแสดงลงบนสลาก หรือผลิตภัณฑ์ หรือกิจการใด ๆ โดยใช้สัญญลักษณ์ที่เรียกว่า “ฮาลาล” ซึ่งเขียนเป็นภาษาอาหรับภายในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หลังกรอบเป็นลายเส้นแนวตั้ง ใต้กรอบภายในเส้นขนานมีคำว่า “สนง.คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย” โดยเครื่องหมายดังกล่าวนี้ จะออกให้กับผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ฮาลาล และหรือเนื้อสัตว์ฮาลาลที่นำเข้าจากต่างประเทศ เป็นต้น จากมาตรฐานต่าง ๆ ที่โรงงานผลิตอาหารเสริม, โรงงานผลิตเครื่องสำอางค์, โรงงานผลิตสบู่ ควรมีแล้วคงทำให้เหล่าเจ้าของกิจการได้เห็นถึงขั้นตอน ว่าการที่จะจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแต่ละตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งสำคัญนอกจากคุณภาพ ความปลอดภัยแล้ว ต้องคำนึงถึงกลุ่มลูกค้าเฉพาะอย่างมุสลิมที่มีความละเอียดอย่างมากในการบริโภคอาหารแต่ละชนิดเข้าไป ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อย ไม่เพียงโรงงานที่คุณเลือกจะได้รับมาตรฐานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความยั่งยืนที่แบรนด์ของคุณจะสามารถยืนหยัดได้อย่างสง่างามเพราะไม่บกพร่องในเรื่องนี้ ที่สำคัญมีความหลากหลายทางด้านกลุ่มลูกค้าอีกด้วย อ้างอิง https://fic.nfi.or.th/foodsafety/upload/qs/pdf/ISO_22000%20-%202.pdf https://www.tisi.go.th/data/lab/pdf/17025_t.pdf https://www.acfs.go.th/halal/general.php

บูสต์ผิวให้สวยใส เปล่งปลั่ง ด้วย 3 วิตามินบำรุงผิว

วิตามิน

บูสต์ผิวให้สวยใส เปล่งปลั่ง ด้วย 3 วิตามินบำรุงผิว การมีบุคลิกภาพที่ดี ต้องอาศัยภาพลักษณ์ที่ดูดีเพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจ เพราะผิวพรรณเป็นอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย ต้องรู้จักดูแลผิวรักษาเพื่อช่วยให้เกิดความประทับใจกับผู้พบเห็น ผิวพรรณที่สวยเนียน กระจ่างใสและสุขภาพดีนั้น นอกจากจะช่วยให้เป็นที่ประทับใจต่อคนที่ได้พบเห็นแล้ว ยังเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองอีกด้วย วันนี้อมรินณ์ ฟาร์มา เราจึงมีเคล็ดลับดี ๆ ที่สามารถดูแลผิวเราให้สวยใสและดูสุขภาพดี สวยใส เปล่งออร่าจากภายในสู่ภายนอก ด้วยวิตามินบํารุงผิว อันได้แก่ วิตามินซี (Vitamin C) เพื่อผิวขาวใส ลดจุดด่างดำ วิตามิน ซี (Vitamin C) เป็นวิตามินที่สามารถละลายในน้ำ โดยที่ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้จำเป็นต้องได้รับวิตามินชนิดนี้จากการรับประทาน โดยมากวิตามินซีจะอยู่ในกลุ่มของอาหารประเภทผักและผลไม้ชนิดต่าง ๆ พบมากในส้ม สับปะรด มะขาม สตอร์เบอร์รี่ ฝรั่ง มะนาว มะเขือเทศ แต่สำหรับคนที่ไม่นิยมการรับประทานผักและผลไม้ จึงอาจจะต้องทานวิตามินเสริม ประโยชน์ของวิตามินซีในด้านสุขภาพและการดูผิวพรรณ วิตามินซีมีประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อผิวพรรณ ดังนี้ ประโยชน์ของวิตามินในด้านสุขภาพ วิตามินซีมีประโยชน์มากมาย อาทิ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เราไม่ป่วยหรือเป็นหวัดได้ง่ายๆ เพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ โดยการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนในด้านของความสวยความงามวิตามินซีก็มีประโยชน์ ช่วยให้สาวๆ สวย สดใสได้เช่นกัน โดยวิตามินซีจะเป็นตัวกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตของผิวพรรณ ส่วนในด้านของผิวพรรณ วิตามินซีจะช่วย เสริมสร้างคลอลาเจน และต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย จึงเป็นเหตุผลที่ว่าวิตามินซีจะสามารถทำให้ผิวพรรณของเหล่าสาวๆ สวยขึ้น สุขภาพดีดูเรียบเนียน จุดด่างดำจางลงอย่างเห็นได้ชัด วิตามินอี (Vitamin E) ตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว วิตามิน อี (Vitamin E) หรือ Tocopherol เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้ จำเป็นจะต้องได้รับจากการรับประทานเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมันมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของวิตามิน อี คือ เป็นตัวแอนตีออกซิแดนท์ (Antioxidant) และยังเป็นตัวช่วยระบบกล้ามเนื้อและการทำงานของตับ ถือได้ว่าวิตามินอี มีส่วนช่วยบำรุงตับ ซึ่งตับต้องทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย วิตามิน อี จึงเป็นตัวช่วยสำคัญ ในการทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดของตับด้วย ทั้งนี้วิตามินอี ยังมีความสามารถในการ ต้านอนุมูลอิสระก่อให้เกิดความเสียหายในเซลล์และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของริ้วรอยที่ดูแก่ก่อนวัย โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่า การได้รับวิตามินอีที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันและซ่อมแซมการสึกหรอของเส้นผม ผิว และเล็บได้ และยังช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพของผิวช่วยชะลอความแก่ ประโยชน์ของ วิตามิน อี ที่นำมาใช้ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง ? วิตามิน อีมีส่วนในการป้องกันการแตกของเม็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของเม็ดเลือด ป้องกันการอักเสบ บำรุงตับ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ซ่อมแซมผิว มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ตรงนี้เองที่จะช่วยชะลอการแก่ก่อนวัย ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้มีการทำวิตามินอีไปเป็นส่วนผสมทั้งในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคต่าง ๆ ดังนี้ วิตามินอีในรูปแบบยา นอกเหนือจากบทบาทการเป็นวิตามินผู้ปกป้องร่างกายแล้ว วิตามินอียังมีบทบาทในการเป็นยารักษาโรค โดยทางด้านการแพทย์ จะใช้รักษาโรคโลหิตจางในทารกแรกคลอดเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก ใช้รักษาโรคขาดสารอาหาร ใช้รักษาอาการปวดกล้ามเนื้อขาเวลาเดิน และใช้สำหรับต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ อีกมากมาย วิตามินอีในรูปแบบเครื่องสำอาง วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีการนำมาใช้มากชนิดหนึ่งในเครื่องสำอางสำหรับผิว โดยใช้เป็นสารกันหืน ใช้เป็นสารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ใช้ผสมในครีมกันแดด เพื่อช่วยเร่งการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยลดความเกรียมแดดของผิวหนัง และช่วยสมานผิวหนัง ซึ่งฤทธิ์บางอย่างนี้ อาจจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม วิตามินอีในรูปแบบอาหาร หรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะมีการใช้วิตามินอีเป็นสารกันหืนในอาหาร นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิตามินอีเป็นอาหารเสริม โดยจะใช้เพื่อบำรุงร่างกาย ป้องกันการเกิดโรค และลดความรุนแรงของภาวะต่างๆ โดยภาวะบางอย่างยังคงต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติม วิตามิน ดี (Vitamin D) กับประโยชน์ที่ดีต่อทุกคน วิตามินที่เป็นส่วนสำคัญของร่างกาย โดยที่ร่างกายของเราสามารถสร้างวิตามินดีด้วยตัวเองจากการสัมผัสแสงแดด และรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของวิตามินดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู ปลาซาร์ดีน ไข่ และนม ทำหน้าที่ในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเสริมสร้างมวลกระดูก และป้องกันโรคกระดูกบาง (Osteopenia) และกระดูกพรุน (Osteoporosis) และช่วยเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อ หัวใจ ปอด และสมอง นอกจากนี้ วิตามินดียังมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศ จึงหน้าที่ในการควบคุมกระบวนการทำงานของลดฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathyroid Hormone) สารมารถป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกได้และเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวานได้อีกทางหนึ่ง วิตามินดียังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่นอย่างไรอีกบ้าง ? หน้าที่หลัก ๆ ของวิตามินดีคือช่วยควบคุมภาวะสมดุลของแร่ธาตุแคลเซียม ฟอสเฟต แคลเซียม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ครอบคลุมไปตั้งแต่สมอง หัวใจ หลอดเลือด กระดูก เอ็น และอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนที่สัมพันธ์กับรอบประจำเดือน ช่วยต้านโรคมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้าได้ เนื่องจากการที่วิตามินดีช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนินมากขึ้น มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ปรับสมดุลและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยป้องกัน และรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ ช่วยให้อาการนอนหลับดีขึ้น ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)การมีผิวสวยเนียน กระจ่างใสนั้น ทำได้ไม่ยากและก็ไม่จำเป็นต้องซื้อครีมราคาแพง มาใช้ เพียงแค่มีวินัยในการดูแลผิว รู้จักเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินอี และ วิตามินดี รวมถึงดูแลตัวเองให้ดีทั้งภายในและภายนอก เพียงเท่านี้ก็มีผิวที่สวยใส จนใคร ๆ ต้องเหลียวมอง วิตามินอีในรูปแบบยานอกเหนือจากบทบาทการเป็นวิตามินผู้ปกป้องร่างกายแล้ว วิตามินอียังมีบทบาทในการเป็นยารักษาโรค โดยทางด้านการแพทย์ จะใช้รักษาโรคโลหิตจางในทารกแรกคลอดเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก ใช้รักษาโรคขาดสารอาหาร ใช้รักษาอาการปวดกล้ามเนื้อขาเวลาเดิน และใช้สำหรับต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ อีกมากมาย วิตามินอีในรูปแบบเครื่องสำอาง วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีการนำมาใช้มากชนิดหนึ่งในเครื่องสำอางสำหรับผิว โดยใช้เป็นสารกันหืน ใช้เป็นสารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ใช้ผสมในครีมกันแดด เพื่อช่วยเร่งการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยลดความเกรียมแดดของผิวหนัง และช่วยสมานผิวหนัง ซึ่งฤทธิ์บางอย่างนี้ อาจจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม วิตามินอีในรูปแบบอาหาร หรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะมีการใช้วิตามินอีเป็นสารกันหืนในอาหาร นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิตามินอีเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยจะใช้เพื่อบำรุงร่างกาย ป้องกันการเกิดโรค และลดความรุนแรงของภาวะต่าง ๆ โดยภาวะบางอย่างยังคงต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติม การมีผิวสวยเนียน กระจ่างใสนั้น ทำได้ไม่ยากและก็ไม่จำเป็นต้องซื้อครีมราคาแพง มาใช้ เพียงแค่มีวินัยในการดูแลผิว รู้จักเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง มีส่วนประกอบของวิตามินซี วิตามินอี และ วิตามินดี รวมถึงดูแลตัวเองให้ดีทั้งภายในและภายนอก เพียงเท่านี้ก็มีผิวที่สวยใส จนใคร ๆ ต้องเหลียวมอง อ้างอิง  https://www.paolohospital.com/th-TH/phahol/Article/Details/Food-exercise/วิตามิน-C-มีดีอย่างไร#:~:text=วิตามินซี%20มีดีต่อ,ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง https://pri.moph.go.th/index.php/services/people/healthknowledge/31-workingage/44-vegetables https://www.paolohospital.com/th-TH/phahol/Article/Details/Facts-About-Vitamin-E-รู้จักVitamin-E-หนึ่งใน-Antioxidant-ที่จำเป็น https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=33 https://www.paolohospital.com/th-TH/phahol/Article/Details/บทความ-วิตามิน/คุณมีวิตามินดี-พอหรือยัง-

อาหารเสริมบำรุงปอด

ในยุคปัจจุบันเป็นยุคที่เราต้องรักษาสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะปอด ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เพราะฉะนั้นเราจะต้องบำรุงและดูแลรักษาประสิทธิภาพการทำงานของปอด เราได้คัดสรร 8 อาหารเสริมบำรุงปอดมาให้คุณแล้ว ✨ 🌤 อาหารเสริมบำรุงปอดนอกจากบำรุงปอดแล้วยังมีประโยชน์อื่นๆต่อร่างกาย อีกทั้งยังสามารถใช้วัตถุดิบได้หลากหลายตัว Amarin Pharma จัดให้‼️ Ingredients จัดเต็ม 💸 ขายง่าย กำไรดี 1. มะขามป้อม 🔴 มะขามป้อม : วิตามินสูง สารต้านอนุมูลอิสระ ● อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ● ต้านการอักเสบ ● ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด 2. แครอท 🟠 แครอท : เบต้าแคโรทีน สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยป้องกันระบบทางเดินหายใจได้ ● มีเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอสูงมาก ช่วงป้องกันอาการหอบหืด ● ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น     3. ขมิ้น 🟡 ขมิ้น : ลดอาการอักเสบ ● มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบ ● ฤทธิ์ที่ได้จากขมิ้น มีความเป็นไปได้ในการป้องกันการถูกทำลายของปอดจากกระบวนการอักเสบที่เกิดในหลอดลม หรือเนื้อปอดได้ 4. แอปเปิ้ล 🟢 แอปเปิ้ล : มีใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ ● แอปเปิ้ลอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) สามารถยับยั้งสารอนุมูลอิสระในปอด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. บล็อคโคลี่ 🔵 บล็อคโคลี่ : ขับสารพิษ และสารก่อพิษ ● ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ● ในบล็อคโคลีมีสารซัลเฟอร์ราเฟล(sulforaphane) ช่วยให้ตับและเซลล์เยื่อบุสลายสารพิษได้ดีขึ้นช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ● บรรเทาอาการปอดอักเสบ 6. ขิง 🟣 ขิง : บำรุงระบบทางเดินหายใจ ● ช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจ ● การรับประทานขิงสามารถลดอาการอักเสบภายในร่างกาย เพราะขิงจะช่วยสกัดฮอร์โมนที่เกี่ยวกับอาการอักเสบได้ ● ช่วยให้ระบบการไหลเวียนโลหิตได้ดี 7. ยีสต์-เบต้า กลูแคน 🟤 ยีสต์-เบต้า กลูแคน : ลดสารก่อภูมิแพ้ เสริมภูมิต้านทาน ● มีคุณสมบัติในการปรับสมดุลการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ● ต้านการติดเชื้อ จึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยลดการเกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน 8. พลูคาว ⚪️ พูลคาว : เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย ● ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ● ใช้รักษาโรคติดเชื้อและทางเดินหายใจ ● ช่วยรักษาอาการปอดบวม ปอดอักเสบ

สารพัดปัญหาที่มากับ แสงแดด และ UV

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าแดดประเทศไทยนั้นแรงมาก ไม่ว่าจะหน้าไหนก็ตาม เชื่อว่าหลายคนคงประสบปัญหาแดดแผดผิวเราเกือบตลอดเวลา ซึ่งทำให้เกิดสารพัดปัญหาเหล่านี้ ที่มากับ แสงแดด และ 🌞UV ❗จุดด่างดำ ❗กระ ❗ผิวหมองคล้ำ ❗ฝ้า ❗สีผิวไม่สม่ำเสมอ เป็นปัญหาที่ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อผิวเรากันเลยทีเดียว โดยเฉพาะถ้าหากไม่มีวิธีการป้องกันที่ดี เพราะฉะนั้น เรามีวิธีการป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลเสียต่อผิว มาฝากกัน ✅หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่แสงแดดมีความเข้มข้นของรังสียูวีมากเกินไป คือ 10 โมงเช้า ถึง 3 โมง เพราะเป็นช่วงที่แสงแดดมีความรุนแรง และมีรังสียูวีมากที่สุด ✅ป้องกันผิวก่อนออกไปข้างนอกด้วยการสวยใส่เสื้อคลุมแขนยาว ปกป้องผิวหนัง หรือกางร่ม ใส่หมวก สวมแว่นกันแดด ✅อีกหนึ่งเคล็ดไม่ลับที่สำคัญมากๆ คือการทากันแดด ต่อให้ไม่ได้ออกไปไหนก็ต้องทา เพราะแสงที่เราไม่เห็นนี่แหละตัวดี ทำร้ายผิวเราโดยไม่รู้ตัว🔥 ควรเลือกใช้ครีมกันแดดอย่างไร? – หากไม่ได้เผชิญแสงแดดมาก สามารถเลือกทาครีมกันแดดที่มี SPF15 +++ ก็มีความเพียงพอในการปกป้องผิว – แต่ถ้าหากออกแดดบ้าง อยู่ในที่ร่มบ้าง ควรเลือกทาครีมกันแดดที่มี SPF 30-50 PA+++ จึงจะสามารถปกป้องผิวได้ – การทาครีมกันแดดที่ได้ประสิทธิภาพคือ ควรทาในปริมาณที่หนา คือ ปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อ 1 ตารางเซนติเมตรของผิวหนัง หรือถ้าพูดง่ายๆคือ สอง ข้อนิ้วมือ และควรเริ่มทาครีมกันแดดก่อนออกแดด 15 นาที ข้อแนะนำ – ไม่ควรใช้ครีมกันแดดสำหรับผเวกายไปทาที่ผิวหน้า เพราะในครีมกันแดดประเภทนร้มีความมันมากกว่า อาจทำให้ผิวหน้าของเราอุดตันจนเกิดสิวได้ เพราะฉะนั้นควรแยกประเภทในการใช้จะดีกว่า ✨

Privacy Policy | Commercial Registration Number 0515559000081